.png)
รู้ทัน ป้องกันได้ โรคพยาธิหนอนหัวใจ ภัยร้ายที่มากับยุง
รู้ทัน ป้องกันได้ โรคพยาธิหนอนหัวใจ ภัยร้ายที่มากับยุง
เข้าสู่หน้าฝนแล้ว ช่วงที่ผ่านมาฝนตกมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเลยค่ะ ยิ่งสภาพอากาศแบบนี้ยิ่งต้องใส่ใจสุขภาพของเด็ก ๆ เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะจากเชื้อโรคที่สามารถแพร่กระจายทางอากาศได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงสัตว์พาหะที่อาจจะชุกชุมมากพิเศษในหน้าฝน โดยเฉพาะยุง ในบทความนี้หมอจะเล่าเรื่องโรคพยาธิหนอนหัวใจในสุนัขและแมว ตั้งแต่สาเหตุการเกิดโรค อาการแสดงออก การตรวจวินิจฉัย แนวทางการรักษา และวิธีการป้องกันที่แทบจะได้ผลเกือบ 100% ให้คุณพ่อคุณแม่ฟังกันค่ะ
โรคพยาธิหนอนหัวใจเกิดจากอะไร ?
โรคพยาธิหนอนหัวใจสามารถพบได้บ่อยในสุนัขและพบได้บ้างในแมว เกิดจากการติดพยาธิชนิด Dirofilaria immitis ซึ่งสามารถติดเชื้อตัวอ่อนของพยาธิดังกล่าวเข้าทางกระแสโลหิตของสุนัขและแมวโดยมียุงเป็นพาหะนำโรค เมื่อโดนยุงที่ติดเชื้อกัด ตัวอ่อนจะเข้าไปเติบโตภายในสุนัขและแมว โดยพยาธิตัวโตเต็มวัยจะไปอยู่ที่หลอดเลือดแดงในปอดและหัวใจห้องล่างขวา ส่งผลให้เกิดภาวะความดันหลอดเลือดแดงในปอดสูง ลิ้นหัวใจห้องขวารั่ว จนอาจเกิดภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลวตามมาได้ในที่สุดค่ะ

ไม่เพียงแต่พยาธิหนอนหัวใจ ยังมีแบคทีเรียชนิด Wolbachia sp. ที่ดำรงชีวิตร่วมกับพยาธิหนอนหัวใจแบบภาวะพึ่งพาอาศัยตลอดทุกระยะของพยาธิหนอนหัวใจ ที่สร้างโปรตีนกระตุ้นให้ร่างกายเด็ก ๆ เกิดการอักเสบของปอดและไตตามมาได้ค่ะ
อาการของโรคพยาธิหนอนหัวใจ
โรคพยาธิหนอนหัวใจ แบ่งออกเป็น 4 ระยะตามความรุนแรงของโรค โดยแต่ละระยะมีอาการแสดง ดังต่อไปนี้
- ระยะที่ 1 : พบการติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ แต่สัตว์ป่วยยังไม่แสดงอาการหรืออาจพบอาการไอเล็กน้อย
- ระยะที่ 2 : ในระยะนี้จะเริ่มมีการเพิ่มจำนวนของตัวอ่อนพยาธิหนอนหัวใจในร่างกายสัตว์ป่วย จึงมักพบอาการไอแห้ง เหนื่อยง่าย มีเสียงปอดผิดปกติ
- ระยะที่ 3 : เมื่อมีการเพิ่มจำนวนของพยาธิหนอนหัวใจมากขึ้น อาจส่งผลให้พบภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลวได้ ซึ่งจะพบการคั่งของน้ำในช่องท้องหรือตามแขนขาและพบตับโตจากการคั่งของเลือดบริเวณตับ สัตว์ป่วยจะไอหนักขึ้น อาจพบไอเป็นเลือดได้ หายใจลำบาก เสียงปอดและเสียงหัวใจผิดปกติอย่างชัดเจน เป็นลมหมดสติ และอาจเสียชีวิตได้
- ระยะที่ 4 : เป็นระยะที่อาการรุนแรงที่สุด ระยะนี้พยาธิหนอนหัวใจตัวเต็มวัยจะเพิ่มจำนวนมากจนไปอุดตันการไหลเวียนเลือดที่ลิ้นหัวใจห้องขวา หรือที่เรียกว่าภาวะ caval syndrome สัตว์ป่วยมักเสียชีวิตหากไม่ได้รับการแก้ไขค่ะ
การตรวจวินิจฉัยโรคพยาธิหนอนหัวใจ
การตรวจวินิจฉัยโรคพยาธิหนอนหัวใจเองสามารถทำได้หลายวิธีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเอกซเรย์ช่องอก การตรวจ echocardiography หรือวิธีที่ค่อนข้างนิยมกันก็คือใช้ชุดตรวจหาเชื้อ (ATK) ซึ่งจะตรวจการติดเชื้อตัวอ่อนระยะที่ 3 ของพยาธิหนอนหัวใจ หรือจะใช้วิธี PCR ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันค่ะ ทั้งนี้แนะนำให้เริ่มตรวจการติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึึ้นไปนะคะ เพราะกว่าตัวอ่อนของพยาธิจะพัฒนาไปเป็นตัวเต็มวัยที่หัวใจอาจจะใช้เวลานานถึง 6 เดือนหรือมากกว่านั้นค่ะ
แนวทางการรักษาโรคพยาธิหนอนหัวใจ
ในการรักษาโรคพยาธิหนอนหัวใจ นอกจากที่เราจะมุ่งเป้าไปที่การฆ่าตัวพยาธิโดยตรงแล้ว ยังมีแบคทีเรียตัวเล็ก ๆ ที่มีความสำคัญต่อการรักษาโรคนี้ ก็คือ Wolbachia sp. หากไม่มี Wolbachia sp. พยาธิหนอนหัวใจเองก็จะไม่สามารถดำรงชีวิต สืบพันธุ์ และเสียชีวิตไวกว่าเดิมได้ค่ะ การให้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดอักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ จึงยังคงจำเป็นต่อการรักษาโรคพยาธิหนอนหัวใจ เพื่อลดจำนวนตัวอ่อนและพยาธิตัวเต็มวัยให้ได้มากที่สุดก่อน หลังจากนั้นถึงเริ่มใช้ยาฆ่าพยาธิตัวโตเต็มวัย การรักษาจึงใช้ระยะเวลาหลายเดือนและอาจยาวถึงเป็นปี ๆ ค่ะ ระหว่างการรักษาแนะนำให้ป้องกันพยาธิหนอนหัวใจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการติดพยาธิแทรกซ้อนนะคะ
วิธีการป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ
เพราะการป้องกันโรคย่อมดีกว่าการรักษาค่ะ ยาป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจในปัจจุบันเองมีให้เลือกใช้หลากหลาย และต่างก็มีประสิทธิภาพค่อนข้างดีในการป้องกันโรค การให้ยาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
ทั้งนี้ประเทศไทยเองมีสภาพอากาศค่อนข้างร้อนชื้น ยุงก็ไม่ได้ชุกชุมเฉพาะในฤดูฝน แต่สามารถพบได้ในแทบทุกฤดูและทุกพื้นที่ ดังนั้นจึงควรให้ยาป้องกันการติดเชื้อกับเด็ก ๆ เป็นประจำนะคะ