
การตรวจภูมิแพ้สิ่งแวดล้อมในสุนัข: Blood test vs. Skin Test แบบไหนที่เหมาะกับสุนัขของเรากันนะ?
จากบทความที่แล้ว เราได้ “ทำความรู้จักกับโรคภูมิแพ้ผิวหนังในสุนัข” ( https://arakanimal.com/articles/dog-allergy-canine-atopy) กันไปแล้ว และได้ทราบแล้วว่า หนึ่งในปัญหาโรคผิวหนังของน้องหมาที่ทำให้มีอาการคัน ขนร่วง เป็นผื่น หรือเลียแทะตัวเองบ่อยๆ คือ โรคภูมิแพ้จากสิ่งแวดล้อม (Canine Atopic dermatitis; Atopy) ซึ่งพบได้บ่อยมากในสุนัข
แน่นอนว่า คุณพ่อคุณแม่ก็คงอยากจะรู้ว่า น้องหมาของเราแพ้อะไรในอากาศกันแน่? ซึ่งวันนี้หมอจะมาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆค่ะ เรามีวิธีตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ (Allergen Test) อยู่ 2 แบบ ได้แก่
- การตรวจภูมิแพ้จากเลือด (Allergen-Specific IgE serology; Allergy blood test)
- การทดสอบทางผิวหนัง (Intradermal Skin Test; IDST)
1. การตรวจภูมิแพ้จากเลือด (Allergy blood test)
การตรวจภูมิแพ้จากเลือดโดยใช้เทคนิค ELISA หรือ Enzyme-linked Immunosorbent Assay เป็นการตรวจระดับภูมิคุ้มกันชนิด IgE (Immunoglobulin E) ที่ร่างกายสัตว์สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือเชื้อรา ผ่านการเจาะเลือดและส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ ซึ่งโรงพยาบาลสัตว์อารักษ์สามารถส่งได้ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ
- ห้องปฏิบัติการในประเทศ สามารถตรวจสารก่อภูมิแพ้ได้ 8 รายการ รอผลประมาณ 4 สัปดาห์
ห้องปฏิบัติการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา สามารถตรวจสารก่อภูมิแพ้ได้ 36 รายการ รอผล 6–8 สัปดาห์
ข้อดีของการตรวจภูมิแพ้จากเลือด
ไม่ต้องวางยาซึมหรือโกนขน
สามารถทำได้ง่าย เพียงเจาะเลือด 2-4 cc
ข้อจำกัดของการตรวจภูมิแพ้จากเลือด
รอผลค่อนข้างนาน โดยเฉพาะหากส่งตรวจที่สหรัฐอเมริกา
ผลอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น ระดับภูมิคุ้มกันในเลือดตอนตรวจ ปริมานสารก่อภูมิแพ้ที่สัมผัสในช่วงเวลานั้น ทำให้ความแม่นยำอาจต่ำกว่าวิธี Skin Test ในบางกรณี
2. การตรวจด้วยวิธี Skin Test (Intradermal Skin Test หรือ IDST)
การทดสอบทางผิวหนังเป็น วิธีมาตรฐาน (Gold Standard) ในการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสุนัข โดยสัตวแพทย์จะฉีดสารก่อภูมิแพ้ชนิดต่างๆ เข้าชั้นผิวหนัง แล้วสังเกตการตอบสนองที่เกิดขึ้นผ่านการสร้างปุ่มนูนหรือผื่นแดง ซึ่งแสดงถึงการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน IgE ที่ผิวหนังโดยตรง โดยโรงพยาบาลสัตว์อารักษ์สามารถตรวจสารก่อภูมิแพ้ได้ 15 รายการ
ข้อดีของการตรวจ Skin Test
ให้ผลแม่นยำสูงและไวต่อการตรวจจับสารก่อภูมิแพ้ที่เฉพาะเจาะจง
ทราบผลทันทีภายหลังการตรวจ
ข้อจำกัดของการตรวจ Skin Test
อาจจำเป็นต้องวางยาซึมเพื่อให้น้องหมาอยู่นิ่งระหว่างการทดสอบ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการตรวจสุขภาพประเมินความเสี่ยง และ ดูแลโดยสัตวแพทย์วิสัญญีตลอดการทำหัตธการ
ต้องโกนขนบริเวณลำตัวด้านข้างเพื่อความแม่นยำ
อาจเกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนังที่ แต่หายได้เองภายใน 1–2 วันค่ะ
---------------------------------------
สรุปแล้วควรเลือกตรวจแบบไหนดี?
จริงๆมีคำตอบที่ไม่ตายตัว โดยคร่าวๆ คือ ถ้าหากสุนัขมีความเสี่ยงในการวางยาซึมมาก หรือ มีความเสี่ยงขนไม่ขึ้นจากพันธุกรรม การตรวจภูมิแพ้ทางเลือดก็น่าจะตอบโจทย์สุนัขกลุ่มนี้ แต่หากต้องการผลตรวจทันที หรือ มีแผนจะทำการผ่าตัดอื่นยู่แล้ว เช่น ขูดหินปูน หรือ ทำหมัน ก็สามารถทำ Skin test ได้เลยในคราวเดียวกัน ดังนั้นหมอแนะนำให้พาน้องๆมาพูดคุยกับสัตวแพทย์โรคผิวหนังก่อนว่า น้องหมาของเราควรตรวจแบบไหนดีที่สุด เพราะแต่ละตัวมีปัจจัยไม่เหมือนกัน
ทั้งนี้ หากน้องหมาของคุณมีแนวโน้มเป็นภูมิแพ้ การตรวจหา “ตัวการ” ให้เจอไวๆ จะช่วยให้การดูแลฃและช่วยลดปริมาณยาที่ต้องใช้ควบคุมอาการลง หรือสามารถนำผลตรวจมาทำวัคซีนภูมิแพ้เฉพาะตัว (Immunotherapy; Allergy shot) ต่อไปได้ค่ะ